กระบวนการซึมลงดิน ( Infiltration Process )
กระบวนการซึมลงดินเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีน้ำตกลงสู่ผิวดินน้ำจะซึมผ่านผิวดินและแพร่ลงไปในดินตามแรงดึงความชื้น
จนกระทั่งดินอิ่มตัวด้วยน้ำ จากนั้นแรงดึงดูดของโลกจะทำให้น้ำไหลลึกซึมลงไปในดิน สามารถพิจารณาแยก
ปริมาณความชื้นในดินได้เป็น 4 ส่วน คือ
1. ส่วนที่อิ่มตัวด้วยน้ำ (saturation zone) ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ใกล้กับผิวดิน
2. ส่วนที่น้ำแพร่ผ่าน (transmission zone) เป็นส่วนที่น้ำไหลผ่านชั้นดิน ขณะที่ดินยังไม่อิ่มตัวโดยปริมาณความชื้น
ตลอดหน้าตัดใกล้เคียงกัน
3. ส่วนที่กำลังเปียก (wetting zone) เป็นส่วนที่ความชื้นกำลังเพิ่มขึ้นโดยในชั้นดินที่ลึกลงไปจะมีความชื้นน้อย
4. หน้าตัดที่กำลังเปียก (wetting front) เป็นหน้าตัดที่เริ่มเปียกน้ำและกำลังมีการเปลี่ยนความชื้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งบริเวณนี้ ดินจะมีความชื้นแตกต่างกันมาก จนสามารถแยกระหว่างดินเปียกกับดินแห้งได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่มีอิทธิพลต่ออัตราการซึมของน้ำผ่านผิวดิน
วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาด้านการซึมลงดิน คือการหาค่าอัตราการซึมลงดิน ณ เวลาต่างๆ การเปลี่ยนแปลง
อัตราการซึมนั้นเป็นผลจากทั้งอิทธิพลของแรงดึงดูดของโลก (gravity force) และ แรงดันหรือแรงดึงน้ำ (pressure force)
โดยสิ่งที่มีผลต่อการซึมลงดินสามารถสรุปได้ ดังนี้ (1) อัตราการตกของน้ำฝน น้ำชลประทาน หรือความลึกของน้ำที่ขังบนผิวดิน
(2) ความสามารถในการน้ำน้ำของดิน (3) ปริมาณความชื้นในดินขณะเริ่มต้น (4) ความลาดชันและความขรุขระของผิวดิน
(5) คุณสมบัติทางเคมีของดิน (6) คุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของน้ำ
(ก) สภาพน้ำที่ผิวดินและปริมาณน้ำที่ตกลงบนผิวดิน
อัตราการซึมลงดินนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง สภาพนน้ำที่ผิวดินและปริมาณน้ำที่ตกลงบนผิวดินจะเป็น
ตัวหนึ่งที่กำหนดว่าน้ำจะซึมลงดินอย่างไร ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ดังสรุปในตาราง
อัตราการซึมในสภาพน้ำที่ตกลงบนผิวดินต่างๆ
1. สภาพที่ไม่มีน้ำขังที่ผิว (no ponding)
ในสภาพที่ไม่มีน้ำขังอยู่บนผิวดิน ซึ่งเป็นช่วงที่ฝนเริ่มตกหรือช่วงเริ่มให้น้ำชลประทานอัตราการซึม
ลงดินจะเท่ากับอัตราการให้น้ำที่ผิวดิน [ ] แต่จะมีปริมาณไม่เกินอัตราการซึมลงดินสูงสุด
[ ] หากอัตราที่น้ำตกลงผิวดินมากกว่าอัตราการซึมลงดินสูงสุดแล้ว น้ำก็จะเริ่มขังที่ผิวดิน
2. สภาพมีน้ำขังที่ผิวดิน (saturation from above)
ในสภาพที่มีน้ำขังอยู่บนผิวดิน อัตราการซึมลงดินจะเท่ากับการซึมลงดินสูงสุด [ ]
แต่จะมีปริมาณไม่เกินอัตราการตกของน้ำที่ผิวดิน [ ]หากอัตราที่น้ำตกลงผิวดินน้อยกว่า
อัตราการซึมลงดินสูงสุดแล้ว น้ำก็จะซึมลงดินจนกระทั่งไม่มีน้ำขังบนผิวดิน การซึมลงดินจะเปลี่ยนกลับ
เป็นสภาพแรก
3. สภาพดินด้านล่างอิ่มตัวด้วยน้ำ (saturation from below)
หากดินชั้นล่างลึกลงไปอิ่มตัวด้วยน้ำแล้ว ไม่ว่าจะมีน้ำขังบนผิวดินหรือไม่ จะไม่มีการซึมลงดิน
อีกต่อไป [ ]
|
: อัตราการซึมลงดิน (infiltration rate)
: อัตราการตกของน้ำที่ผิวดิน (water-input rate) ซึ่งอาจเป็นน้ำฝนหรือน้ำชลประทาน
: อัตราการซึมลงดินสูงสุด (infiltration capacity) ค่า นี้จะมีค่ามากในช่วงแรก
เนื่องจากเมื่อฝนเริ่มตก ในขณะที่ดินแห้ง แรงดึงความชื้นจะมีค่ามาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปค่า
นี้จะลดลงและคงที่ โดยจะมีค่าใกล้เคียงกับ hydraulic conductivity ของดินอิ่มตัวด้วยน้ำ
: ความลึกของน้ำที่ขังเหนือผิวดิน (depth of ponding)
|
(ข) ความสามารถในการนำน้ำของดิน (Hydraulic Conductivity)
อัตราการซึมลงดินสูงสุด (infiltration capacity) มีค่าลดลงตามระยะเวลา โดยลดลงถึงค่าต่ำสุดและคงที่
โดยค่าต่ำสุดนี้จะใกล้เคียงกับ hydraulic conductivity ของดินอิ่มตัวด้วยน้ำ โดยค่าของ hydraulic conductivity นั้นจะขึ้นอยู่กับ
เนื้อดินเป็นหลัก ถึงกระนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้อัตราการซึมมากหรือน้อยกว่านี้ อาทิ
- ชั้นอินทรียวัตถุที่ผิวดิน เช่น ซากใบไม้ ฮิวมัส ซึ่งอาจรวมถึงการชอนไชดินของรากพืช ไส้เดือนและแมลงในดิน
จะช่วยให้ดินมีช่องว่างมากขึ้น จึงทำให้ดินนำน้ำได้ดีขึ้น
- ผิวดินที่แข็งตัวเนื่องจากอากาศเย็นจัด เมื่ออากาศเย็นจัดจะทำให้น้ำในดินแข็งตัวบริเวณผิวซึ่งจะปิดกั้น
ไม่ให้น้ำซึมลงดินได้
- การบวม หรือหดตัวของดิน เมื่อความชื้นในดินเปลี่ยนไป ดินบางชนิดที่ มีดินเหนียวเป็นส่วนประกอบจะมี
คุณสมบัติบวมเมื่อเปียกน้ำและหดตัวเมื่อแห้ง คุณสมบัตินี้จะส่งผลทำให้การซึมลงดินในพื้นที่เดียวกัน
เกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามฤดูกาล โดยในฤดูฝนขณะดินเปียกการซึมลงดินจะมีค่าน้อย ในขณะที่ในฤดูแล้ง
เมื่อดินแห้งและหดตัวจะทำให้เกิดรอยแตกซึ่งการซึมลงดินจะมาก
- การที่ตกตะกอนดินถูกชะลงมาอุดตันช่องว่างในดิน ขณะที่ฝนตกตะกอนขนาดเล็กๆ จะถูกชะล้างและพัดพาลงมา
ในช่องว่างระหว่างดิน ซึ่งจะทำให้การซึมลดลง
- ผลจากการกระทำของมนุษย์ เช่น ผิวถนนหรือคอนกรีต ล้วนแต่เป็นตัวที่ทำให้อัตราการซึมลดลง รวมถึง
การทำการเกษตรแม้ว่าการพรวนดินจะช่วยให้การซึมลงดินดีขึ้นเป็นการชั่วคราว แต่ในระยะยาว การใช้เครื่องจักร
และสารเคมีในการเกษตร มีผลทำให้ดินแน่นขึ้นและลดการซึมลงดิน
(ค) ปริมาณความชื้นในช่องว่างเม็ดดิน
แม้ว่า เมื่อปริมาณความชื้นในดินเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่า hydraulic conductivity เพิ่มขึ้นตาม แต่ในทางตรงข้ามจะมีผล
ทำให้แรงดึงความชื้นในดินลดลงเมื่อพิจารณาผลรวมของแรงทั้งสองแล้วเมื่อความชื้นในดินเพิ่มขึ้นการซึมลงดินจะลดลง
ในกรณีที่สภาพดินชั้นล่างมีชั้นน้ำใต้ดินตื้นหรือมีน้ำใต้ดินไหลมาเพิ่มจากพื้นที่อื่นจะมีผลให้ชั้นดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ
สูงขึ้นมาใกล้ผิวดิน จนทำให้น้ำไม่สามารถซึมลงได้อีก
(ง) ความลาดชันและความขรุขระของผิวดิน
ความลาดชันและความขรุขระของผิวดินมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขังบนผิวดิน ในสภาพผิวดินที่ไม่มีน้ำขัง
อัตราการซึมลงดินจะขึ้นอยู่กับอัตราการตกของน้ำที่ผิวดิน ซึ่งจะมีอัตราการซึมต่ำกว่ากรณีที่มีน้ำขังบนผิวดินในพื้นที่
ซึ่งมีการซึมลงดินจะขึ้นอยู่กับอัตราการตกของน้ำที่ผิวดินซึ่งจะมีอัตราการซึมต่ำกว่ากรณีที่มีน้ำขังบนผิวดินในพื้นที่
ซึ่งมีความลาดชันสูงและไม่มีสิ่งปกคลุมจะมีปริมาณน้ำผิวดินมากและไหลอย่างรวดเร็ว ในทางตรงข้าม จะมีปริมาณน้ำ
ที่ซึมลงดินน้อย
(จ) คุณสมบัติทางเคมีของดิน
สารอินทรีย์วัตถุบางชนิดในดินมีลักษณะเป็นมัน เมื่อสัมผัสกับน้ำ จะยึดน้ำไว้ที่ผิวแทนที่จะปล่อยให้น้ำ
แทรกลงไปตามช่องว่างของดิน กระบวนการลักษณะนี้ มีอิทธิพลต่อการซึมไม่มากนักในพื้นที่ป่าธรรมชาติ
แต่ในกรณีที่เกิดไฟป่า พื้นที่เปลี่ยนสภาพเป็นดินโล่งทำให้สารเหล่านี้ขึ้นมาสะสมบริเวณผิวดินซึ่งมีผลทำให้
อัตราการซึมลงดินลดลงอย่างมาก
(ฉ) คุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของน้ำ
คุณสมบัติของน้ำทั้งในด้านแรงดึงผิว (surface tension) ความหนาแน่น (density) ความหนืด(viscosity)
ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการไหลของน้ำในดิน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ความหนืดของน้ำซึ่งจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิต่ำมากๆ มีผลให้อัตราการซึมลงดินลดลง
|