Header image  
   
line decor
  HOME  ::   น้ำท่าหรือน้ำในแม่น้ำ
line decor
   
 

 

น้ำท่าหรือน้ำในแม่น้ำ (Streamflow)

 

กระบวนการเกิดน้ำท่า

น้ำที่ไหลมารวมกันในแม่น้ำนั้นประกอบไปด้วย

  1. ฝนที่ตกลงมาในลำน้ำโดยตรง (channel precipitation)

  2. น้ำผิวดิน (overland flow หรือ surface runoff)

  3. น้ำใต้ผิวดิน (interflow หรือ subsurface flow)

  4. น้ำใต้ดิน (groundwater flow)

 

 

โดยน้ำที่ไหลบนผิวดินนั้นยังอาจแยกที่มาได้เป็น 2 ส่วน

- ส่วนหนึ่งเป็นน้ำฝนส่วนเกินจากการซึมลงดิน (infiltration excess overland flow) น้ำฝนส่วนเกินนี้เกิดขึ้นเมื่อ

ความเข้มน้ำฝนมากกว่าอัตราการซึมลงดินในขณะนั้น น้ำฝนส่วนที่เหลือนี้จะไหลบนผิวดินสู่พื้นที่ต่ำกว่า

- อีกส่วนหนึ่งเป็นน้ำไหลจากพื้นผิวที่อิ่มตัวด้วยน้ำ (saturation excess overland flow) จะพบในบริเวณที่ลุ่มต่ำ

ขณะฝนเริ่มตก บนผิวดินมีความชื้นสูงเมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนจะไหลนองไปบนพื้นผิว นอกจากนี้ยังมีน้ำ

บางส่วนที่ไหลใต้ผิวดินไหลพ้นผิวดินขึ้นมารวม (exfiltration) โดยบริเวณพื้นผิวที่อิ่มตัวด้วยน้ำจะขยายตัว

ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ขณะฝนตก และค่อย ๆ ลดขนาดลงภายหลังฝนหยุดตก

เนื่องจากเส้นทางการไหลของน้ำฝนที่ตกลงมามีความซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงไปมา

การตรวจวัดปริมาณน้ำในแต่ละส่วนนั้นทำได้ยาก ในการวิเคราะห์ข้อมูลน้ำท่านิยมพิจารณาน้ำในแม่น้ำ

เป็นสองส่วน คือ น้ำที่ไหลมาอยู่ในลำน้ำเร็ว  เรียกว่า direct runoff (หรือ quick flow) และ น้ำที่ไหลมาอยู่

ในลำน้ำช้า เรียกว่า base flow

           Direct runoff นั้นส่วนใหญ่เป็นน้ำฝนที่ตกลงมาและไหลไปตามผิวดิน (surface runoff) นอกจากนี้

ยังรวมถึงน้ำฝนที่ตกลงในลำน้ำโดยตรง และน้ำไหลใต้ผิวดินบางส่วนที่ไหลพ้นผิวดินขึ้นมา

โดยการเกิดของ direct runoff  นี้อาจเกิดขึ้นทันทีเมื่อฝนเริ่มต้นหรือหลังจากฝนตกไม่นาน และเพิ่มปริมาณ

จนถึงจุดสูงสุด  จากนั้นค่อยๆ ลดลง โดยปริมาณน้ำสูงสุดนั้นอาจเกิดขณะฝนกำลังตกก็ได้หากฝนตกต่อเนื่อง

เป็นระยะเวลานาน แต่โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นหลังจากฝนหยุดไประยะหนึ่ง เนื่องจากน้ำจากจุดต่างๆ ในพื้นที่

จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการหลมารวมตัวกันที่ทางออกซึ่งระยะเวลาขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะ

ทางกายภาพอื่นๆ ของลุ่มน้ำ

           ส่วน base flow เป็นน้ำที่ไหลมาทางใต้ดินซึ่งไหลมาทางใต้ดินซึ่งไหลได้ช้ากว่า เวลาในการเดินทาง

จากจุดที่ฝนตกลงมาจนกระทั่งถึงทางออกของลุ่มน้ำอาจเป็นหลายๆ วัน จนกระทั่งเป็นปี ปริมาณของน้ำส่วนนี้

ในลำน้ำค่อนข้างจะคงที่โดยมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

 

การตรวจวัดข้อมูลน้ำในแม่น้ำ

1. ระดับน้ำ (stage)

                ข้อมูลระดับน้ำเป็นข้อมูลที่ตรวจวัดได้ง่าย เห็นได้จากในต่างประเทศมีการบันทึกข้อมูล

ระดับน้ำท่วมสูงสุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ระดับน้ำที่ทำการบันทึกจะอ้างอิงอยู่กับระดับเฉลี่ยของน้ำทะเล

เรียก ระดับทะเลปานกลาง (รทก.) หรือ Mean Sea (MSL.) เครื่องมือที่ใช้มี 2 ลักษณะกล่าวคือ

เครื่องมือวัดระดับน้ำแบบไม่อัตโนมัติ และแบบอัตโนมัติ

        -  เครื่องมือวัดระดับน้ำแบบไม่อัตโนมัติ อาจมีลักษณะเป็น แผ่นวัดระดับน้ำ (staff gauge) 

หรือเครื่องวัดแบบใช้เส้นลวด และตุ้มน้ำหนัก (wire-weight) ซึ่งจะต้องมีคนไปจดบันทึก

ตามเวลาอย่างสม่ำเสมอ

        -  เครื่องมือวัดระดับน้ำแบบอัตโนมัติ มีหลายแบบ อาทิ แบบใช้แรงดัน (Pressure Bulb), แบบ

ใช้ฟองอากาศ (Bubble Gauge), แบบทุ่นลอย (Float-Operated Recorder)

 

2. ความเร็วกระแสน้ำ

          2.1 ความแตกต่างของความเร็วในหน้าตัดการไหล

           ความเร็วของกระแสน้ำในหน้าตัดหนึ่งๆ มีค่าต่างกัน เนื่องจาก ความต้านทานการไหลของท้องน้ำ

อันเนื่องมาจากแรงเสียดทาน จะเห็นได้ว่าตอนกลางของหน้าตัดเป็นบริเวณที่มีปริมาณการไหล

และความเร็วของกระแสน้ำมากสุด ส่วนบริเวณที่สัมผัสกับท้องน้ำจะมีความเร็วในการไหลน้อยมาก

 

           2.2 เครื่องวัดกระแสน้ำ (Current Meter)

 

 

           การวัดความเร็วของกระแสน้ำใช้เครื่องมือ เรียกว่า current meter ซึ่งมีสองลักษณะ คือ

ชนิดที่หมุนรอบแกนตั้ง เช่น แบบถ้วยทรงกรวย (cup type) และ ชนิดหมุนรอบแกนนอน (Propeller)               

Current meter จะให้ค่าเป็นจำนวนรอบต่อเวลา ซึ่งต้องนำไปรับเทียบเป็นความเร็วอีกตามสมการ                 

                   

V       =       a + b × N


โดยที่

 V      =       ความเร็ว

a, b    =      สัมประสิทธิ์ปรับเทียบ

N       =       จำนวนรอบต่อเวลา

 

2.3 วิธีการวัดความเร็วกระแสน้ำ

การหาความเร็วเฉลี่ยในแนวตั้งตามความลึกมีเกณฑ์สรุปได้ดังนี้

วิธีการตัด

ความลึกของน้ำ,d (เมตร)

จุดความลึกที่ทำการวัด (เมตร)

ความเร็วเฉลี่ย

1.  วัดจุดเดียว

0.30 - 0.60

0.6d  จากผิวน้ำ

2.  วัดสองจุด

0.60 - 3.00

0.2d  และ 0.8d

=   ×

3.  วัดสามจุด

3.00 - 6.10

0.2d , 0.6d
และ 0.8d

=   ×

               
                เมื่อ         =   ความเร็วที่ 0.2d   วัดจากผิวดิน
                               =   ความเร็วที่ 0.6d   วัดจากผิวดิน
                               =   ความเร็วที่ 0.8d   วัดจากผิวดิน