บทนิยาม 1.14 จะเรียก r ว่าเป็นความสัมพันธ์จากเซต A ไปเซต B ถ้า r AxB
เรียก r ว่าเป็นความสัมพันธ์ทวิภาค(binary relation)บนเซต A ถ้า r AxA

บทนิยาม 1.15 ให r เป็นความสัมพันธ์ทวิภาคบนเซต A เรียก r ว่า ความสัมพันธ์สมมูลบน A (equivalence relation on A )ถ้า r มีสมบัติดังนี้
1. (a,a) r สำหรับทุก a A (กฎการสะท้อน)
2. ถ้า (a,b) r แล้ว (b,a) r (กฎการสมมาตร)
3. ถ้า (a,b) r และ (b,c) r แล้ว (a,c) r (กฎการถ่ายทอด)
โดยทั่วไป นิยมเขียนแทนความสัมพันธ์สมมูล r ด้วย ~ และถ้า (a,b) ~ จะเขียนแทนด้วย a ~ b

บทนิยาม 1.16 ให้ ~ เป็นความสัมพันธ์สมมูลบน A ชั้นสมมูลของ a A (equivalence class of a) เขียนแทนด้วย [a] คือ เซต {x A | x~a} นั่นคือ [a] = {x A | x~a}
และจะใช้สัญลักษณ์ A/~ แทนเซตของชั้นสมมูลทั้งหมดของ ~ บน A
นั่นคือ A/~ = {[a] | a A}

คุณสมบัติของชั้นสมมูล
ให้ ~ เป็นความสมมูลบนเซต A จะได้ว่า
1. " a A, a [a] ดังนั้น [a] น ฦ
2. [a] = [b] ก็ต่อเมื่อ a [b] หรือ b [a]
3. แต่ละ a ,b A จะได้ว่า [a] = [b] หรือ [a] [b] = อย่างใดอย่างหนึ่ง
4. [a] A/~[a] = A

บทนิยาม 1.17 ให้ X เป็นเซตไม่ว่าง และ I เป็นเซตดรรชนี
P = { Ai | AiX, iI } เรียกว่า ผลแบ่งกั้น (partition) ของ X ถ้า
1. iIAi = X
2. Ai Aj = ถ้า i j

ทฤษฎีบท 1.18 ถ้า ~ เป็นความสัมพันธ์สมมูลใด ๆ บนเซตซึ่งไม่ว่าง X แล้ว เซตของชั้นสมมูลที่ต่างกันทั้งหมดเป็นผลแบ่งกั้นของ X
ในทำนองกลับกัน
ถ้า P = {Ai | Ai X,i I} เป็นผลแบ่งกั้นของ X แล้ว สามารถนิยามความสัมพันธ์สมมูลบน X โดยที่แต่ละ Ai เป็นชั้นสมมูลได้
โดยกำหนดความสัมพันธ์สมมูล
ดังนี้ a ~ b ก็ต่อเมื่อ a,bAi สำหรับบางค่า iI

บทนิยาม 1.19 จะเรียกความสัมพันธ์ r จากเซต A ไปเซต B ว่าฟังก์ชัน
ถ้า (x,y) r และ (x,z) r แล้ว y = z นั่นคือ ฟังก์ชันคือความสัมพันธ์ที่ไม่มีสมาชิกในพิกัดที่หนึ่งซ้ำกัน
ให้ f เป็นความสัมพันธ์จากเซต A ไปเซต B ถ้า f เป็นฟังก์ชัน ซึ่ง Df = A และ Rf B
จะเรียก f ว่าเป็นฟังก์ชันจาก A ไป B เขียนแทนด้วย f: A B

บทนิยาม 1.20 กำหนด f เป็นฟังก์ชันจากเซต A ไปเซต B
1. f จะเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง ก็ต่อเมื่อ f(x1)=f(x2) แล้ว x1 = x2 ทุก x1,x2 A
2. f จะเป็นฟังก์ชันไปบน (ไปทั่วถึง)เซต B ก็ต่อเมื่อ Rf = B

บทนิยาม 1.21 ให้ f: A B และ g: B C ฟังก์ชันประกอบของ f และ g (composite function of f and g) คือ ฟังก์ชัน gof : A C กำหนดโดย
gof(a) = g(f(a)) สำหรับทุก a A

บทนิยาม 1.22 ฟังก์ชันเอกลักษณ์ (identity function) บนเซต A เขียนแทนด้วย 1A คือ
ฟังก์ชัน 1A: A A ซึ่ง 1A(a) = a สำหรับทุก a A

บทนิยาม 1.23 ฟังก์ชัน f: A B หาตัวผกผันได้ (invertible) ถ้ามีฟังก์ชัน g: B A ซึ่งgof = 1A และ fog = 1B เรียก g ว่าตัวผกผันของ f(inverse for f) และเขียนแทน g ด้วย f-1

ทฤษฏีบท 1.24 ฟังก์ชันใด ๆ มีตัวผกผันได้อย่างมากฟังก์ชันเดียว

ทฤษฏีบท 1.25 ฟังก์ชัน f: A B หาตัวผกผันได้ ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งแบบทั่วถึง

บทนิยาม 1.26 ให้ n เป็นจำนวนเต็มบวก a,b Z จะกล่าวว่า a สมภาคกับ b มอดุโล n
(a congruence b modulo n)เขียนแทนด้วย a b (mod n) ก็ต่อเมื่อ n|(a-b)
เรียก n ว่ามอดุลัส (modulus)

ทฤษฏีบท 1.27
1.สมภาค (mod n)เป็นความสัมพันธ์สมมูลบน Z และมีชั้นสมมูลที่แตกต่างกันทั้งหมด n ชั้น
2. ถ้า a b (mod n) และ c d (mod n) แล้ว a+c b+d (mod n)
และ ac bd (mod n)
3. ถ้า ab ac (mod n) และ gcd(a,n) = 1 แล้ว b c (mod n)

ทฤษฏีบท 1.28 ให้ n ,a Z โดยที่ n >1 จะได้ว่า มี b Z ที่ทำให้ ab 1 (mod n ) ก็ต่อเมื่อ gcd(a,n) = 1 ทฤษฏีบท 1.29 การบวก และ คูณ ข้างต้นแจ่มชัด ( well-define )

บทนิยาม 1.30 ให้ [a] Zn ถ้ามี [b] Zn-{[0]} ที่ทำให้ [a][b] = [0] แล้วจะเรียก [a] ว่าตัวหารของ 0 (divisor of zero)

บทนิยาม 1.31 ให้ [a] Zn ถ้ามี [b] Zn ที่ทำให้ [a][b] = [1] แล้วจะเรียก [b]ว่าตัวผกผันการคูณ (multiplicative inverse) ของ [a] และจะกล่าวว่า [a] และ [b]
เป็นสมาชิกที่หาตัวผกผันได้ (invertible) ของ Zn

ทฤษฏีบท 1.32 ให้ n Z+
1. [a] มีตัวผกผันการคูณใน Zn ก็ต่อเมื่อ gcd(a,n) = 1
2. ทุก [a] Znมีตัวผกผันการคูณ หรือ เป็นตัวหารของ 0

บทนิยาม 1.32 การดำเนินการทวิภาค (binary operation) บนเซต A ซึ่งไม่ใช่เซตว่าง หมายถึงฟังก์ชันจาก AxA ไปยัง A นั่นคือถ้า @ เป็นการดำเนินการทวิภาคดังนั้น
@ : AxA A และนิยมใช้สัญลักษณ์ a@b แทน @(a,b) ซึ่งเป็นค่าพิสัยของ (a,b)

ตัวอย่าง 1. บวก(+) และ คูณ (.) เป็นการดำเนินการทวิภาคบนจำนวนจริง R
      2. บวก(+) และ คูณ (.) ใน ทฤษีบท1.29 เป็นการดำเนินการทวิภาคบน Zn

บทนิยาม 1.33 ให @เป็นการดำเนินการทวิภาคบนเซต A ซึ่งไม่ใช่เซตว่าง
B A มีสมบัติปิดภายใต้ @ ก็ต่อเมื่อ a@b B ทุก a,b B

บทนิยาม 1.34 ให @เป็นการดำเนินการทวิภาคบนเซต A ซึ่งไม่ใช่เซตว่างจะกล่าวว่า
@ มีสมบัติเปลี่ยนหมู่ (associative) ก็ต่อเมื่อ (a@b)@c = a@(b@c) ทุก a,b,c ฮ A
@ มีสมบัติสลับที่ (commutative) ก็ต่อเมื่อ a@b = b@a ทุก a,b ฮ A

บทนิยาม 1.35 ให S เป็นเซตซึ่งไม่ใช่เซตว่าง @เป็นการดำเนินการทวิภาคบน S
จะกล่าวว่า (S,@) เป็นกึ่งกลุ่ม (semigroups) ถ้า @ มีสมบัติเปลี่ยนหมู่บน S